The Greatest Showman : โชว์แมนบันลือโลก
The Greatest Showman : ถ้าเรารู้จักสิ่งนั้น เราก็จะมีความสุขได้ไม่ยาก
จัดว่าเป็นช่วงที่หนังดี ๆ เข้าโรงมาอย่างมหาศาลให้เราได้เลือกดูจริง ๆ สำหรับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ หลาย ๆ คนที่มีที่ไปเที่ยวก็ดี แต่หลาย ๆ คนที่ไม่มีที่ไป (เช่นผม) ก็คงไปจบที่บ้านไม่ก็โรงหนังเป็นแน่ ซึ่งช่วงนี้ก็กะว่าจะไปดูหนังยาว ๆ และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก
จัดว่าเป็นช่วงที่หนังดี ๆ เข้าโรงมาอย่างมหาศาลให้เราได้เลือกดูจริง ๆ สำหรับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ หลาย ๆ คนที่มีที่ไปเที่ยวก็ดี แต่หลาย ๆ คนที่ไม่มีที่ไป (เช่นผม) ก็คงไปจบที่บ้านไม่ก็โรงหนังเป็นแน่ ซึ่งช่วงนี้ก็กะว่าจะไปดูหนังยาว ๆ และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากประวัติของคนช่างฝันที่ได้สร้างสรรค์โชว์ที่อลังการและสุดแสนประทับใจ พี.ที.บาร์นัม ผู้ที่คิดโชว์สุดแสนประหลาดและโด่งดังไปทั่วโลก เรื่องย่อก็น่าจะเป็นเหมือนกับการเล่าประวัติของคน ๆ นี้ให้ได้ฟังกันนั่นแหละ เพียงแต่เรื่องราวจะถูกนำเสนอในรูปแบบของมิวสิคัล เล่าชีวิตของคนผ่านท่วงทำนองเพลง จากคนที่ไม่มีอะไร สร้างเนื้อสร้างตัวจนยิ่งใหญ่ และสูญสิ้นทุกอย่างอีกครั้ง เราจะได้เห็นวัฏจักรชีวิตอย่างนี้ และความอบอุ่นใจ ความเท่าเทียมที่ไม่แบ่งแยก รวมถึงความคิดหลากหลายอย่างในหนังเรื่องนี้
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสดูหนังที่เป็นมิวสิคัลจริง ๆ ปกติไม่ค่อยได้ดูแนวนี้ แต่ด้วยหัวเรื่องที่น่าสนใจและอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ตัดสินใจไปดู ก็คงต้องบอกว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้อันดับแรกเลยคือการเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ เล่าทุกความรู้สึกของเรื่องราวผ่านบทเพลงและท่วงทำนองสมกับคำว่า มิวสิคัล ซึ่งผมก็คิดนะว่าถ้าหากพลาดไปนิดเดียวเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ก็อาจจะทำให้ช็อตนั้น ดูไม่ติดตาและอาจจะทำให้ขัดอารมณ์ไปได้เลย แต่เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ลื่นไหลแบบสุด ๆ ทำให้ดูแล้วไม่ติดขัดและสนุก ทั้งยังเข้าถึงอารมณ์ขณะนั้น ๆ ได้ แสง สี เสียงในเรื่องก็ออกมาได้ดีมาก ๆ มีแง่คิดดี ๆ ให้เราได้คิดไว้ตลอดเรื่อง โดยรวมทุก ๆ อย่างผมชอบมาก ๆ โอเคมาก ๆ
แต่ที่ไม่ได้ 10/10 ด้วยความรู้สึกส่วนตัว โดยส่วนตัวนะคิดว่ามันยังไม่สุด แต่ด้วยความที่เป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคนจริง ๆ เลยต้องทำโดยเคารพคน ๆ นั้นด้วย และอารมณ์บางจุดที่ผมคิดว่ามันยังดันไปได้อีก แต่ยังไม่สุดเท่านั้นเอง โดยรวมแล้วโอเคมาก ๆ แล้วครับ ติดแค่ส่วนตัวจริง ๆ
สำหรับข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ ผมว่ามันน่าหยิบมาพูด เนื่องในวาระปีใหม่มาก ๆ เรื่องแรกคือ การอย่าหลงไปกับอำนาจ ชื่อเสียง เหมือนดั่งตัวละครในเรื่องราวนี้ ที่หลงไปกับแสง สี คำสรรเสริญเยินยอ จนทำให้เขาทิ้งคนที่ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกับเขามา เหยียบข้ามหัวไป จนสุดท้ายไม่เหลืออะไร แต่ทุกคนที่เขาทอดทิ้งและใช้เป็นเครื่องมือเพื่อไขว่ขว้าชื่อเสียงก็ยังอยู่ข้าง ๆ เขา และพร้อมที่จะเริ่มใหม่ไปกับเขา ซึ่งหลาย ๆ ครั้งในชีิวิตเราก็เป็นอย่างนี้ ชีิวิตมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ อย่าไปหลงชื่อเสียงอะไรมาก และอย่าทิ้งคนข้าง ๆ เราเพียงเพื่อสิ่งเหล่านั้น ดูแลคนข้าง ๆ ให้ดี ๆ นะ และมีอีกประโยคที่ผมชอบมากในเรื่องนี้คือ อย่าไปฟังเสียงคนรอบข้างที่ไม่ได้ชอบเรามาก ต่อให้เราทำอะไรที่ดีแค่ไหนคนเหล่านั้นก็จะด่าเรา ขอให้เชื่อในตัวเองและอยู่กับคนที่รักเรา คนที่ดีไม่กี่คนดีกว่า
หนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องที่สามารถดูได้ทั้งครอบครัว นอกจากจะให้ความสุขแล้ว ยังให้ข้อคิดอีกหลาย ๆ อย่างรวมทั้งแรงบันดาลใจที่เราจะกล้าทำอะไรที่แตกต่าง ส่วนตัวให้ 9.5/10 อยากให้ทุกคนลองไปดู แม้ว่าโรงจะน้อย แต่คุณภาพเกินร้อยแน่นอน คนที่ดูแล้วชอบหรือไม่ชอบอะไรยังไง ก็มาเล่าให้ฟังกันด้วยนะ
"ศาสตร์แห่งศิลปะขั้นสูงสุดคือ การสร้างรอยยิ้มให้ผู้อื่น"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ถ้าอยากได้เรื่องราวฮา ๆ สนุกสนาน ลองไปอ่านเรื่องนี้ดูนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น